วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Poem







Peace, Faith, Love and Hope. poem please read

The Four Candles, Author Unknown

The Four Candles burned slowly.
Their Ambiance was so soft you
could hear them speak...

The first candle said, "I Am Peace, but these days, nobody
wants to keep me lit." Then Peace's flame slowly
diminishes and goes out completely.

The second candle says, "I Am Faith, but these days, I am
no longer indispensable." Then Faith's flame slowly
diminishes and goes out completely.

Sadly the third candle spoke, "I Am Love and I haven't the
strength to stay lit any longer."
"People put me aside and don't understand my
importance. They even forget to love those who are
nearest to them." And waiting no longer, Love goes out
completely.

Suddenly...A child enters the room and sees the three
candles no longer burning. The child begins to cry, "Why
are you not burning? You are supposed to stay lit until the end."

Then the Fourth Candle spoke gently to the little boy,
"Don't be afraid, for I Am Hope, and while I still burn, we
can re-light the other candles."

With Shining eyes the child took the Candle of Hope and
lit the other three candles.
Never let the Flame of Hope go out of your life.
With Hope, no matter how bad things look and
are...Peace, Faith and Love can Shine Brightly in our lives.


ขอบคุณที่มาและภาพประกอบของ กลอนภาษาอังกฤษ : flickr.com


Not strange if you see some of them have all day long with quarrel.
Not strange if you see some of them always sweet…
And not strange if some of them are cold and distant to each other.
And it’s normal if you see some of them have too much different love,
seeming the sky and the land.
ไม่แปลกที่บางคู่อาจทะเลาะกันทั้งวัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจหวานให้แก่กันได้ทั้งวัน
และไม่แปลกที่บางคู่ต่างเฉยชาต่อกัน
และก็คงไม่แปลกเลยที่บางคู่อาจต่างกันราวฟ้ากับดิน
You're not wrong to love him.
And, it’s not also his wrong, if he doesn't love you back.
By the way, you're not wrong if you don't love him.
And not his wrong if he loves you.
Forbid heart from falling in love is hard to do.
But... It's not comparable with Forbid heart to forget love, because it's so hard to do.
คุณไม่ผิดที่ไปรักเขาคนนั้น
และเขาเองก็คงไม่ผิดที่ไม่ได้รักคุณ
ในทางตรงข้าม คุณไม่ผิดที่ไม่ได้รักเขาคนนั้น
และเขาก็ไม่ผิดที่มารักคุณเช่นกัน
การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก
แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยากกว่า
To love is to risk not being loved in return.
To hope is to risk pain.
To try is to risk failure, but risk must be taken,
Because the greatest hazard in life is to risk nothing.
การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน
การตั้งความหวัง คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว
แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตราาย ที่สุดในชีวิต ก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย
No man or woman is worth your tears and the only
one who is, will never make you cry.

ไม่มีชายหรือหญิงคนไหนมีค่าพอที่คุณจะต้อง
เสียน้ำตาให้ ส่วนคนที่มีค่าพอนั้น
เขาย่อมที่จะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้อย่างเด็ดขาด

If you love someone,
put their name in a circle,
instead of a heart,
because hearts can break,
but circles go on forever.

ถ้าคุณรักใครสักคน
จงเอาเขาไว้รอบตัวคุณแทนที่จะใส่เขาไว้ในใจ
เพราะหัวใจสามารถแตกสลายได้
แต่ถ้าเขาอยู่รอบตัวคุณ เขาจะอยู่กับคุณตลอดไป
It may take only a minute to like someone,
only an hour to have a crush on someone
and only a day to love someone
สิ่งดีดีรีบมาใกล้...ให้สมพร
but it will take a lifetime to forget someone.

มันอาจจะใช้เวลาเพียงชั่วนาทีที่จะชอบใครสักคน
เพียงชั่วโมงที่จะนึกรักใครสักคน
และเพียงชั่ววันที่จะรักใครสักคน
แต่มันจะใช้เวลาชั่วชีวิตของท่านที่จะลืมคนคนนั้น

ที่มา กลอนภาษาอังกฤษ : planet.kapook.com/ilikechopin


กลอน กลอนภาษาอังกฤษ Hope : กลอนภาษาอังกฤษ ความหวัง

Behind the clouds and mist of cold
The warming light of sun doth show
Within the depth of darkling night
The stars yet shining out their light.

Will the time come to light my days
And shed those pain and lone away
Will someone come and hold me near
I long for thee to stop my tears

Will there be sun behind my clouds
Or will my star ever be found
I long, I wish, o my heart cries
For someone I could call as mine.

--------------------------------------

เบื้องหลังหมอกมัวเหนือฟ้าหม่น
แสงอ่อนโยนของตะวันยังเฉิดฉาย
ราตรีมืดไม่ไร้ดาวพราวพราย
จะมีสักวันไหมได้พบเธอ

คนที่จะจุดประกายปลายฟ้า
อบอุราให้อุ่นไอรักเสมอ
จะมีไหมวันนั้นวันที่เจอ
หรือต้องเพ้อเพียงฝันนิรันดร

ที่มา กลอนภาษาอังกฤษ : planet.kapook.com/ilikechopin

Idiom


 สำนวนภาษาอังกฤษที่นิยมใช้กัน นำสำนวนมาใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้นะจ๊ะ
1. สำนวนที่ใช้ถามว่า " เกิดอะไรขึ้น" หรือ "มีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้น" คือ
What happened ?
someone ?
What is wrong with
something
What is the matter ?
2. สำนวนที่ใช้ถามลักษณะว่าเป็นอย่างไร ใช้ได้ทั้งกับคนและสิ่งของWhat is the
weather like ?
What is your new teacher like?

3. สำนวนที่ใช้เมื่อประธานมิได้ทำกริยานั้นๆ ด้วยตนเอง แต่มีผู้อื่นทำให้
3.1 have (or get) + something + กริยาช่อง 3 เช่น
He has his room cleaned. (= Someone, cleans the room for him.)
3.2 have + someone + กริยาช่อง 1 (infinitive without to) เช่น
He has the servant clean his room.
3.3 get + someone + infinitive with to เช่น
He got a florist to send the flowers to me

4. สำนวนที่หมายถึงไปต่างประเทศ (to a foreign country)
ใช้ "go abroad" เช่น
He plans to go abroad next year.

5. สำนวนที่หมายถึง "สมัครงาน" คือ to apply for a job เช่น
She applied for an accountant. (= เธอสมัครเป็นนักบัญชี)

6. สำนวนที่ใช้กับ to spend มักใช้กับเงินหรือเวลา- spend + money + on + something
- spend + time + v. ing
เช่น The children spent 200 baht on the new toy.
The spent an hour doing the exercise.

7. สำนวนเกี่ยวกับเวลาอีกอย่างหนึ่ง คือ
It {takes } + time + to do something took
เช่น It takes us three hours to go to Hua Hin.

8. สำนวน to be fond of = like (ชอบ) เช่น
The girl is fond of singing = The girl likes singing.

9. สำนวนที่หมายถึง เก่ง/ไม่เก่ง หรือ มีความสามารถ/ไม่มีความสามารถ ในด้าน ……to be good at
เช่น He is good at dancing (= เขาเต้นรำเก่ง)
{to be bad at }
to be poor in = ไม่เก่ง, อ่อน
to be weak in
เช่น My students are poor in Physics. (= นักเรียนของฉันไม่เก่งฟิสิกส์)

10. to be on duty = อยู่เวรหรือระหว่างขณะปฏิบัติหน้าที่to be off duty = ออกเวรหรือไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่
to have a day off = ได้หยุดงาน 1 วัน เช่น
The have three days off for Chinese New Year. (=สำหรับตรุษจีน พวกเขาได้หยุดงาน 3 วัน)

11. เมื่อไม่เชื่อคำพูดของผู้พูดหรือสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นไปไม่ได้ จะถามว่า
Are you kidding? (=คุณล้อเล่นหรือเปล่า)

12. สำนวนที่ใช้กับ v. to have ซึ่งใช้กันบ่อยๆ ได้แก่
- have (or take) a bath / a shower = อาบน้ำ อาบน้ำฝักบัว
- have a break = พักคั่น หรือหยุดพักชั่วครู่
- have a cold / a flu / a headache / a toothache … = เป็นไข้หวัด / ไข้หวัดใหญ่ / ปวดหัว / ปวดฟัน …
- have a fever = เป็นไข้

13. to be over = จบสิ้น เสร็จสิ้น เช่น
The file was over.
บางทีใช้ "The time is up." หมายถึง "The time is over." (=หมดเวลา) ก็ได้

14. to be eager to do something = กระตือรือร้นที่จะทำ
to be ready to do something = พร้อมที่จะทำ…
to be willing to do something = เต็มใจที่จะให้…
to be about to do something = กำลังจะ เกือบจะทำ…
15. to be in order = อยู่ในระเบียบ เรียบร้อย ใช้ได้to be out of order = ไม่เป็นระเบียบ ใช้ไม่ได้ หรือเสีย เช่น
They couldn't hear anything because the radio was out of order. (=พวกเขาไม่ได้ยินอะไรเลยเพราะวิทยุมันเสีย)

16. สำนวนที่ใช้ตามด้วย v. ing ที่ควรรู้ ได้แก่
give up = หยุด หรือเลิกทำ
be (get) used to = เคยชินกับ
be (get) accustomed to
look forward to = คาดหวังที่จะ…
to be busy = ไม่ว่าง หรือวุ่นอยู่กับ
to be worth = มีค่าควรแก่การ…
I can't help = อดไม่ได้
I can't stand = ทนไม่ได้
no use = no good = ไม่มีประโยชน์ที่จะ

17. to be in trouble = อยู่ในภาวะยุ่งยาก หรือมีปัญหาto be in a hurry = รีบร้อน

18. สำนวนที่เกี่ยวกับ make ที่ควรจำ ได้แก่
make friends with… = ผูกมิตร หรือทำความรู้จักกับ..
make up one's mind = ตัดสินใจ
make fun of = หลอก แกล้ง
make a fool of

19. play a trick on someone = หลอกลวง

20. pay atttenion to = ให้ความสนใจ เอาใจใส่กับ..
21. on sale = ลดราคาfor sale = มีไว้สำหรับขาย
22. on time = ตรงเวลา
in time = ทันเวลา

23. to go for a walk = ไปเดินเล่น

24. to go on holiday = ไปเที่ยววันหยุดto go on business = ไปทำธุรกิจ

25. เวลาที่เราคิดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องอะไรอยู่ จะใช้สำนวนที่หมายถึง มีอะไรอยู่ในใจ คือ something on one's mind เช่น
The debt is on his mind. (=เขากำลังคิดถึงเรื่องหนี้อยู่)

26. in advance หมายถึง "ล่วงหน้า"She plans in advance for the program next month. (= เธอวางแผนล่วงหน้าสำหรับรายการเดือนหน้า)

27. out of t question= impossible (เป็นไปไม่ได้)His adventure is out of the question. (= การผจญภัยของเขานั้นเป็นไปไม่ได้)

28. to make a promise = กระทำสัญญา
to keep a promise = รักษาสัญญา
to break a promise = ไม่รักษาสัญญา

29. fail to do something = พลาดที่จะทำ (คือ ไม่ได้ทำ) เช่น
We failed to pick her up at the airport. (= เราไม่ได้ไปรับเธอที่ สนามบิน)

30. succeed in doing something = ประสบความสำเร็จในการ… เช่น
He succeeded in controling the racing car. (= เขาประสบความสำเร็จในการควบคุมรถแข่งนั้น)

31. be equal to หมายถึง เท่ากันกับ … เช่น
His weight is equal to mine. (= น้ำหนักของเขาเท่ากับน้ำหนัก ของฉัน)

32. be similar to หมายถึง เหมือนกันกับ… เช่น
The weather here is not similar to that of England. (= อากาศที่นี่ไม่เหมือนกับอากาศที่อังกฤษ)

33. to lose one's way = to get lost = หลงทาง เช่น
Have you ever got lost in the forest? (= คุณเคยหลงทางในป่าไหม)

34. to learn by heart = ท่องจำ เช่น
He is good at learning by heart. (= เขาท่องจำเก่ง)

35. to lose one's heart = to fall in love with… = ตกหลุมรัก… เช่น
My friend has his heart to that lovely girl. (= เพื่อนของฉันตกหลุมรักผู้หญิงน่ารักคนนั้นเข้าแล้ว)

36. for good = forever = ชั่วนิรันดร เช่น
They left the village for good. (= พวกเขาออกจากหมู่บ้านไปตลอดกาล)

37. up to date = modern = fashionable หรือ to be in fashion = ทันสมัย กำลังเป็นที่นิยมหรืออยู่ในความนิยม เช่น
Jeans are not in fashion now. (= ยีนส์ไม่เป็นที่นิยมในขณะนี้)

38. out of date = ล้าหลัง ไม่ทันสมัย

39. to keep an eye on = to watch over = เฝ้าดู เช่น
She kept an eye on the little girl until her mother came back. (= เธอเฝ้าดูเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั้นจนกระทั่งแม่ของเธอกลับมา)

40. to make both ends meet = ทำให้รายได้พอกับรายจ่าย เช่น
Can you make both ends meet on your salary? (= คุณสามารถใช้จ่ายได้พอกับรายได้ซึ่งเป็นเงินเดือนของคุณหรือไม่)

41. hang up = วางหูโทรศัพท์

42. to deal with = จัดการกับปฏิบัติต่อ

43. bring up = ให้การอบรมเลี้ยงดู ให้การศึกษา เช่น
She was very well brought up in our family. (= เธอได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีมากในครอบครัวของเรา)

44. run out of = หมด ขาดแคลน เช่น
That car has run out of petrol. (= รถคันนั้นน้ำมันหมด)

45. catch up with = ตามทัน เช่น
He ran so fast that I couldn't catch up with him. (= เขาวิ่งเร็วมากจนกระทั่งฉันตามไม่ทัน)

46. to have an appointment with someone = มีนัดหมายกับ… มักใช้อย่างเป็นทางการ เช่น
He has an appointment with the doctor. (= เขามีนัดกับแพทย์) แต่ถ้านัดกับเพื่อนหรือแฟนจะใช้สำนวนว่า have a date แทน เช่น
He has a date with his girlfriend.

47. to back up = support = สนับสนุน เช่น
The new movie star as suddenly come famous as there are may people who back up her. (= ดาราใหม่คนนั้นมีชื่อเสียงขึ้น กระทันหัน เพราะมีหลายคนสนับสนุนเธอ)

48. little by little = gradually = ทีละเล็กทีละน้อย เช่น
The director is getting fat little by little. (= ผู้อำนวยการเริ่มอ้วนขึ้น ทีละน้อย)

49. to be on the air = ออกอากาศทางวิทยุ หรือโทรทัศน์ เช่น
The Jazz music is now on the air. (= ดนตรีแจ๊สกำลังออกอากาศอยู่ขณะนี้)
 From : http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=6170188388977769604#editor/target=post;postID=2625873081215567672

Adjectives


Adjectives ( articles -a/an )
 
                        Articles เป็นคำคุณศัพท์อย่างหนึ่ง   การเรียน Articles ต้องทำความเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องนามนับได้           ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างสับสนสำหรับผู้เรียนซึ่งที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ( Non-native speakers of English ) หรือเรียนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาต่างประเทศ ( English as a Foreign Language )  เนื่องจากเป็นเรื่องที่มักจะตัดสินใจยากว่าอะไรเป็นนามนับได้ และอะไรเป็นนามนับไม่ได้  บางครั้งคำเดียวกันสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง เป็นเรื่องที่มีกฎเกณฑ์มาก และขณะเดียวกัน ก็มีข้อยกเว้นมากเช่นกัน ต้องอาศัยความจำและประสบการณ์ ในการใช้ภาษา เป็นเวลานานจึงจะสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง
หลักการใช้ article นำหน้านาม คือ
เมื่อกล่าวเป็นการทั่วไปนามนับได้เอกพจน์ จะต้องมี a หรือ an นำหน้าเสมอ
 นามพหูพจน์และนามนับไม่ได้ ไม่ต้องมี article ใดๆ
เมื่อกล่าวเป็นการชี้เฉพาะจะต้องใช้ the นำหน้าเสมอไม่ว่าจะเป็นนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ เป็นนามนับได้หรือไม่ได้
Articles แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
  • Indefinite Article ได้แก่   และ an ใช้นำหน้านามนับได้ ( Countable Nouns ) เอกพจน์ทั่วๆไป ( Singular )
  • Definite Article ได้แก่  the  ซึ่งใช้นำหน้าคำนามนับได้ ( Countable Nouns ) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable Nouns ) ทั้งรูปเอกพจน์ Singular ) และพหูพจน์ ( Plural ) เพื่อให้นามนั้นมีความหมายเฉพาะเจาะจง
การใช้ Indefinite Article : a, an
1. ใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะและมีความหมายทั่วไปในความหมาย หนึ่ง โดยไม่ต้องการเน้นจำนวน เช่น   a woman, a dog, a dentist, a newspaper, a city , a book , a shop  เช่น
He is reading a newspaper.  เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์
2. ใช้ an นำหน้าคำนามนับได้ เอกพจน์ขึ้นต้นด้วยสระ และมีความหมายทั่วไป เช่น an orange, an umbrella, an hour, an article
It's raining.You will need an umbrella .ฝนกำลังตก คุณจะต้องมีร่มกันฝน.
หมายเหตุ
  • ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นขึ้นต้นด้วยสระ   แต่ว่าออกเสียงเป็นพยัญชนะ ให้ใช้ a   เช่น a uniform, a university, a European, a eucalyptus ( ต้นยูคาลิบตัส ), a utensil, a union, a useful, a unit
  • ถ้าคำนามนับได้ เอกพจน์ นั้นมีคุณศัพท์นำหน้าขยาย   ให้ดูดังนี้
       -หากคำคุณศัพท์นั้นขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะก็ให้ใช้ a  เช่น  a sweet orange, a big umbrella
       -หากขึ้นต้นด้วย เสียงสระให้ใช้ an เช่น   an old city, an ugly woman  เป็นต้น
  • ถ้าคำนามนั้นขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นสระ   หรือมี adjective ที่ขึ้นต้นด้วยสระมาขยายข้างหน้านามนั้นให้ใช้ an เช่น
       -ออกเสียงเป็นสระ เช่น an hour, an heir, an honor
       -มีคุณศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยสระ เช่น an important person
3. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ เมื่อกล่าวถึงคำนามนั้นเป็นครั้งแรก เช่น
There is a shop on the corner.   มีร้านอยู่ 1 ร้านที่หัวมุม ( ใช้ a เพราะเป็นการพูดถึงครั้งแรก )
4. ใช้ a, an แทนพวก กลุ่ม หมู่เหล่า เช่น
A cow is an animal. วัวเป็นสัตว์ขนิดหนึ่ง
= Cows are animals.วัวเป็นสัตว์ 
An owl can see in the dark. นกเค้าแมวมองเห็นได้ในความมืด
5. ใช้ a, an ในการบอกอัตราต่อ 1 หน่วย ( per ) เช่น
She runs three miles a day. เธอวิ่งวันละ 10 ไมล์ ( เป็นกิจวัตร )
I go to the cinema about once month. 
ฉันไปดูภาพยนต์ประมาณเดือนละครั้ง
6. ใช้ a, an หน้าชื่อเฉพาะของผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักทั่วไป เพราะมีคุณสมบัติ ความสามารถ หรืออุปนิสัยเหมือนผู้ที่ต้องการเปรียบเทียบ
He is an Einstein. เขาเป็นคนฉลาดเหมือนไอน์สไตน์
He is a Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่ง ( เหมือนสุนทรภู่) ของโรงเรียนเรา
     หมายเหตุ แต่ถ้าใช้ the แทน a หมายความว่าคนเช่นนั้นมีคนเดียว
He is the Soontorn Poo of our school.  เขาเป็นคนที่แต่งกลอนเก่งของโรงเรียนเรา ( เพียงคนเดียว)
He is the Khun Phaen of our family.  เขาเป็นคนเจ้าชู้( เหมือนขุนแผน)คนเดียวในครอบครัวเรา
7. ใช้ a, an นำหน้าคำนามที่เป็นสำนวนในประโยคอุทาน เช่น
What a pity !น่าสงสารจัง
What a shame ! น่าอายจัง !
8. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่กล่าวถึงการเป็นสมาชิกของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มอาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา
My father is a teacher.  อาชีพ
Robert is an American.  เชื้อชาติ
John is a Catholic.   ศาสนา
9. ใช้ a, an แทนจำนวน หนึ่งหน้าคำนามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการนับจำนวนหรือแสดงจำนวนมาก
a dozen of eggs.ไข่จำนวน 1 โหล
a gross of pensปากกาจำนวน 12 โหล
a lot of peopleประชาชนจำนวนมาก
a number of friendsเพื่อนจำนวนมาก
10. ใช้ a, an นำหน้านามที่เป็นสำนวนเกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย  โครงสร้างคือ have + a+ อาการเจ็บป่วย
have a headache ( ปวดหัว )have a pain in the chest ( เจ็บหน้าอก )
have a stomachache ( ปวดท้อง )have a cold ( เป็นหวัด )
have a toothache ( ไม่มี a ก็ได้ ) ( ปวดฟัน )have a fever ( เป็นไข้ )
ยกเว้นถ้าเป็นชื่อโรค ไม่ใช้ a, an เช่น
rheumatism( โรคปวดข้อ )diabetes ( เบาหวาน )
influenza (ไข้หวัดใหญ )่cancer ( มะเร็ง )
เช่น
He had an itch in the middle of his back .เขามีอาการคันที่กลางหลัง
He had a pain in the neck.  เขามีอาการปวดคอ
She is suffering from rheumatism.  เธอกำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคปวดข้อ
11. ใช้ a,an ในสำนวนที่มีคำต่อไปนี้นำหน้าคือ    such, quite, rather, many
We didn't expect such a hot day.  เราไม่ได้คาดว่ามันจะเป็นวันที่อากาศร้อนเช่นนี้
He is quite a good boy. เขาเป็นเด็กดีทีดียว
It was rather a short trip. มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสั้น
Many a place in Thailand impressed them. สถานที่หลายแห่งในประเทศไทยประทับใจพวกเขามาก
12. ใช้ a, an หลังโครงสร้างต่อไปนี้
so + adjective+a + นามนับได้ เอกพจน์ ( such a+ นาม ) เช่น
      We didn't expect so great a crowd.  .เราไม่คาดคิดว่าจะมีคนมากมายอย่างนี้

too + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์
      This is too hard a job for him.  นี่เป็นงานหนักเกินไปสำหรับเขา

however + adjective + a + นามนับได้เอกพจน
      
However nice a girl she is, he never like her. ไม่ว่าเธอจะเป็นคนน่ารักอย่างเขาก็ไม่ชอบเธอ
as + adjective + a + นามนับได้ เอกพจน์+ as
      
She is as good a student as you are.เธอเป็นนักเรียนที่ดีเช่นเดียวกับคุณ
13. สำนวนในภาษาอังกฤษที่ใช้ a,an
all of a suddenทันใดนั้นin a hurry/rushอย่างเร่งรีบ
as a matter of factอันที่จริงแล้วin a good/bad moodอารมณ์ดี/เสีย
as a ruleตามปกติ โดยทั่วไปkeep an eye onเฝ้าดู
do a favorช่วยเหลือmake a decisionตัดสินใจ
earn a livingหาเลี้ยงชีพmake a livingหาเลี้ยงชีพ
give an ideaให้ความคิดmake a mistakeทำผิด
go for a walkเดินเล่นmake noiseทำเสียงดัง
go for rideนั่งรถเล่นmake a speechกล่าวสุนทรพจน์
have a good timeสนุกสนานmake a wishอธิษฐาน
have a hair cutตัดผมmake a fool ofทำให้ขายหน้า
it's a shameน่าขายหน้าmake a requestขอร้อง
it's a pity thatน่าเสียดาย,น่าสงสารtell a lie, tell liesโกหก
take a tripเดินทางtake look atมอง ดู
take a pictureถ่ายรูปkeep secretเก็บเป็นความลับ
take a seatนั่งin position toอยู่ในฐานะที่จะ
with a view toเพื่อจะทำให้on large scaleอย่างมาก
on an/the averageโดยเฉลี่ยmake a remarkให้ข้อสังเกต
couple ofสองสามplay a joke onล้อเล่น
การใช้ a/an และ one
ที่ผ่านมาเป็นการใช้ a/an กับนามนับได้ในความหมายของสิ่งเดียว ( singular ) บางครั้งที่เราต้องการเน้นตัวเลข สามารถใช้ one กับนามนับได้เอกพจน์ เช่น
We'll be in Australia for one ( or a ) year. เราจะอยู่ในออสเตรเลีย 1 ปี
She scored one ( or a ) hundred and eighty points.  เธอได้คะแนน 168 คะแนน
จะใช้ one เท่านั้นเมื่อ
  • ต้องการที่จะเน้นว่าสิ่งที่กล่าวถึง มี/เป็น เพียง 1 ไม่ใช่ 2,3,4...... เช่น
    Do you want one sandwich or two? คุณต้องการแซนด์วิช 1 หรือ 2 อัน
    Are you staying just one night ? คุณจะพักค้างคืนวันเดียวหรือ
  • ใช้ one ในรูปแบบ one ...other / another เช่น
    Close one eye, and then the other. ปิดตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงปิดอีกข้าง
    Bees carry pollen from one plant to another. ผึ้งนำเกสรดอกไม้จากต้นหนึ่งไปอีกต้น
 From  :  http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=6170188388977769604#editor/target=post;postID=5673255440778102142

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

Planning CBI Model



Planning CBI Model





Content Based Instruction in EFL Contexts

Stephen Davies
sdavies [at] miyazaki-mic.ac.jp
Miyazaki International College (Miyazaki, Japan)

Introduction

Content based instruction (CBI) is a teaching method that emphasizes learning about something rather than learning about language. Although CBI is not new, there has been an increased interest in it over the last ten years, particularly in the USA and Canada where it has proven very effective in ESL immersion programs. This interest has now spread to EFL classrooms around the world where teachers are discovering that their students like CBI and are excited to learn English this way.

What Types of Content Based Instruction Are There?

The Sheltered Model

Sheltered and adjunct CBI usually occurs at universities in English L1 contexts. The goal of teachers using sheltered and adjunct CBI is to enable their ESL students to study the same content material as regular English L1 students. Sheltered CBI is called "sheltered" because learners are given special assistance to help them understand regular classes. Two teachers can work together to give instruction in a specific subject. One of the teachers is a content specialist and the other an ESL specialist. They may teach the class together or the class time may be divided between the two of them. For example, the content specialist will give a short lecture and then the English teacher will check that the students have understood the important words by reviewing them later. This kind of team teaching requires teachers to work closely together to plan and evaluate classes. It has been used successfully at the bilingual University of Ottawa, where classes are taught in English and French, (Briton, 1989).  

The Adjunct Model

Adjunct classes are usually taught by ESL teachers. The aim of these classes is to prepare students for "mainstream" classes where they will join English L1 learners. Adjunct classes may resemble EPA or ESP classes where emphasis is placed on acquiring specific target vocabulary; they may also feature study skills sessions to familiarize the students with listening, note taking and skimming and scanning texts. Some adjunct classes are taught during the summer months before regular college classes begin, while others run concurrently with regular lessons.

The Theme Based Model

Theme based CBI is usually found in EFL contexts. Theme based CBI can be taught by an EFL teacher or team taught with a content specialist. The teacher(s) can create a course of study designed to unlock and build on their own students' interests and the content can be chosen from an enormous number of diverse topics.

How Does Theme Based CBI Differ from Sheltered and Adjunct Models?

Theme based CBI is taught to students with TEFL scores usually in the range 350 to 500. These scores are lower than the TEFL 500 score which is often the minimum requirement for students who want to study at universities in English L1 contexts. Because of the lower proficiency level of these students, a standard "mainstream" course, such as "Introduction to Economics" will have to be redesigned if it is to be used in a  theme based  EFL class. For example, complicated concepts can be made easier to understand by using posters and charts, (Mercerize, 2000, p.108).

Syllabus Design for Theme Based CBI

Here is the syllabus for a theme based CBI psychology class that I team taught with a psychologist:
  • Unit 1 Introduction to psychology
  • Unit 2 Types of learning
  • Unit 3 Advertising and psychological techniques
  • Unit 4 Counseling
  • Unit 5 Psychological illnesses
  • Unit 6 Project work
Each unit took from two to three weeks to complete. The students had two classes per week and each class lasted for two and a half hours. The syllabus that we used is clearly different from a conventional Introduction to Psychology class. Our aim was to allow the students to explore various aspects of psychology rather than attempting to give them a thorough grounding in a subject which, we believed, would have been too difficult for them to understand at this stage. In fact one of the strengths of theme based CBI is its flexibility; teachers can create units with specific learner needs in mind. For example, Unit 3 began with some textbook readings followed by questions and written work. After this the students were given some advertisements to analyze and also brought in their own examples for use in group discussions. Finally, for a small group project, they designed their own advertisements and then presented their work to the other class members with a rationale for why they had chosen their product and who the target customers would be. Among the products they designed were a genetically engineered cake tree and a time vision camera.

Materials for Theme based CBI

There are textbooks that can be used for theme based CBI classes which usually contain a variety of readings followed by vocabulary and comprehension exercises. These can then be supplemented with additional information from the Internet, newspapers and other sources. However, another approach is to use specially constructed source books which contain collections of authentic materials or simplified versions. These can be about a particular theme such as drug use or care of the elderly, or about more general topics. It's possible to create some really interesting classroom materials as long as the need for comprehensibility is not forgotten.

Readability

The Flesch-Kincaid test is one method of measuring the readability of writing. Difficulty is assessed by analyzing sentence length and the number of syllables per word. Put simply, short sentences containing words with few syllables are considered to be the easiest to read. The Flesch-Kincaid test can also be used to assess the difficulty of texts for EFL students.  For students with scores below TOEFL 500, Flesh - Cinched scores in the range 5.0- 8.0 are appropriate. (By way of comparison this paper has a Flesch-Kincaid rating of 11.1). However, far more detailed research needs to be done in the area of assessing student responses to the readability of adapted materials. For example, the Flesch-Kincaid test assumes that passive constructions are more difficult for students to understand than active ones; however my own preliminary investigations have shown that removing passive verbs and replacing them with active ones does not necessarily make the students feel that the text is any easier to read.

How Can Theme Based CBI Be Assessed?

A theme based CBI course should have both content and language goals.
Student progress can then be assessed when classes are underway. Continuous assessment is effective.  Daily quizzes can be used to check that content information is getting through to the students and that they are remembering important vocabulary.  Longer tests may also be given at mid-term and at the end of the term.
Journals are also a useful diagnostic tool. Students can be given time at the end of each class to write a summary of the content of the lesson or to answer a specific question given by the teacher. Another useful exercise is to allow the students to write freely on any topic; teachers can then read their work and assess their progress indirectly.
Direct oral feedback during the classes can be useful as long as we are mindful of the proficiency level of the students; it's all too easy to forget how difficult it is to speak a foreign language in front of classmates.

Summary

CBI is an effective method of combining language and content learning. Theme based CBI works well in EFL contexts, and I believe its use will increase as teachers continue to design new syllabi in response to student needs and interests. As I said at the beginning, I believe that learner motivation increases when students are learning about something, rather than just studying language. Theme based CBI is particularly appealing in this respect because teachers can use almost any content materials that they feel their students will enjoy. What can be better than seeing our students create something and learn language at the same time?




The Internet TESL Journal, Vol. IX, No. 2, February 2003
http://iteslj.org/

From: http://iteslj.org/Articles/Davies-CBI.html
                        
                           

  การสอนภาษาที่เน้นเนื้อหา
        (Content - Based Instruction : CBI) 




         
การสอนภาษาโดยใช้เนื้อหาเพื่อนำไปสู่การเรียนนรู้ภาษา (Content - Based Instruction : CBI) การเรียนภาษาต่างประเทศจะได้ผลมากที่สุดถ้าครูสอนให้ผู้เรียนใช้ภาษาในสถานการณ์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ทั้งครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนภาษาที่ม่งุให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารได้ จะจัดการสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนฝึกการใช้ภาษาในสถานการณ์ที่เหมือนจริง ครูสอนภาษาต่างประเทศในประเทศไทยส่วนใหญ่สอนทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคลในระดับพื้นฐาน (Basic Interpersonal Communication Skills) ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนฝึกการใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหน้าที่ (Functions) ในสถานการณ์ซึ่งครูจำลองให้เหมือนชีวิตประจำวันมากที่สุด เช่นการซื้อของ การถามหรือการบอกทิศทาง การแนะนำตัวเอง เป็นต้น การสอนลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้เรียนสื่อสารได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจำนวนมากจะศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น ไม่ว่าจะศึกษาต่อในสาขาวิชาใดก็ตามผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ (Academic English) เพื่อศึกษาหาความรู้และความก้าวหน้าทางวิทยาการ การสอนภาษาโดยเน้นเพียงการสื่อสารในชีวิตประจำวัน จึงไม่สามารถเตรียมผู้เรียนให้มีความพร้อมในการใช้ภาษาอังกฤษในการศึกษาหาความรู้ต่อไป
             ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสอนภาษา ได้ศึกษาเปรียบเทียบการเรียนภาษาเพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล และการเรียนภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ สรุปว่า ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในระดับพื้นฐานได้ หลังจากการเรียนในระยะเวลา 2 ปีแต่ผู้เรียนไม่สามารถใช้ภาษาเชิงวิชาการได้ (Grabe และ Stoller, 1997, Cummins, 1983, 1989) ซึ่งถ้าผู้เรียนต้องการพัฒนาทักษะภาษาเชิงวิชาการด้านพุทธิพิสัย หรือ Cognitive Academic Language Proficiency (CALP) จะต้องใช้เวลาเรียนถึง 7 ปี (Cummins 1983, 1989) นอกจากนี้ Cummins ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ผู้เรียนส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษ แต่ผู้เรียนย่อมจะมีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงควรเริ่มสอนภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ โดยเน้นวิธีการสอนที่ใช้เนื้อหาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ภาษาในระดับมัธยมศึกษา
            
Brinton, Snow และ Wesche (1989) ให้คำอธิบายเกี่ยวกับการสอนภาษาโดยใช้เนื้อหาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ภาษา หรือที่เรียกว่า Content – Based Instruction (CBI) ว่าเป็นการสอนที่ประสานเนื้อหาเข้ากับจุดประสงค์ของการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร โดยมุ่งให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการศึกษาเนื้อหาพร้อมกับพัฒนาภาษาอังกฤษเชิงวิชาการผู้สอนที่ใช้แนวการสอนแบบนี้เห็นว่าครูไม่ควรใช้เนื้อหาเป็นเพียงแบบฝึกหัดทางภาษาเท่านั้น แต่ครูควรฝึกให้ผู้เกิดความเข้าใจสาระของเนื้อหา โดยใช้ทักษะทางภาษาเป็นเครื่องมือ ครูจะใช้เนื้อหากำหนดรูปแบบของภาษา (Form) หน้าที่ของภาษา (Function) และทักษะย่อย (Sub – Skills) ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องรู้เพื่อที่จะเข้าใจสาระของเนื้อหาและทำกิจกรรมได้ การใช้เนื้อหาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ภาษานี้จะทำให้ครูสามารถสร้างบทเรียนให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงได้มากที่สุด ทั้งนี้ครูจะต้องเข้าใจการสอนแบบบูรณาการหรือทักษะสัมพันธ์ ตลอดจนเข้าใจเนื้อหาและสามารถ ใช้เนื้อหาเป็นตัวกำหนดบทเรียนทางภาษา (Brinton, Snow, Wesche, 1989) แนวการสอนแบบนี้ ครูจะประสานทักษะทั้งสี่ให้สัมพันธ์กับหัวเรื่อง (Topic) ที่กำหนดในการเลือกหัวเรื่องครูจะต้องแน่ใจว่าผู้เรียนมีทักษะและกลวิธีการเรียน (Learning Strategies) ที่จำเป็นเพื่อที่จะสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ การสอนภาษาแนวนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเป็นการฝึกกลวิธีการเรียนภาษา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจความหมายของภาษาและสามารถนำกลวิธีนี้ไปใช้ได้ตลอด ส่วนเนื้อหาและกิจกรรมการเรียน ครูสามารถปรับแต่งให้มีความหลากหลายมากขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนในแนวนี้จะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิด และเกิดการเรียนรู้ โดยผ่านการฝึกทักษะทางภาษา กิจกรรมเป็นแบบทักษะสัมพันธ์ที่สมจริง ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เรียนได้ฟังหรืออ่านบทความที่ได้จากสื่อจริง (Authentic Material) แล้วผู้เรียนไม่เพียงแต่ทำความเข้าใจข้อมูลเท่านั้น แต่จะต้องตีความและประเมินข้อมูลนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นผู้เรียนจะต้องรู้จักการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อที่จะสามารถพูดหรือเขียนเชิงวิชาการที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ได้ จะเห็นได้ว่าผู้เรียนจะได้ฝึกทั้งทักษะทางภาษา (Language Skills) และทักษะการเรียน (Study Skills) ซึ่งจะเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่จะใช้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาการในสถานการณ์จริงในอนาคต 





            การสอนแบบ CBI มุ่งเตรียมผู้เรียนให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อหาความรู้ทางวิชาการเพิ่มเติม ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่แตกต่างไปจากการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารโดยมีแนวการเรียนการสอนที่สำคัญดังนี้ คือ



               -  การสอนแบบยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner – Centered Approach)
               - การสอนที่คำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภาษา (Whole Language Approach)
                   - การสอนที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning)
                   - การสอนที่เน้นการเรียนรู้จากการทำโครงงาน (Project – Based Learning)
            นอกจากนี้ยังเน้นหลักสำคัญว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาได้ดี ถ้ามีโอกาสใช้ภาษาในสถานการณ์ที่เหมือนจริง และผู้เรียนจะใช้ภาษามากขึ้นถ้ามีความสนใจในเนื้อหาที่เรียน ดังนั้นผู้เรียนจึงต้องนำเนื้อหาที่เป็นจริงและสถานการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงมาให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้ภาษา เพื่อที่จะทำความเข้าใจสาระของเนื้อหา โดยผู้เรียนสามารถใช้พื้นความรู้เดิมของตนในภาษาไทยมาโยงกับเนื้อหาของวิชาในภาษาอังกฤษ และที่สำคัญที่สุด คือ แนวการสอนแนวนี้ฝึกให้ผู้เรียนคิดเป็น สามารถวิพากษ์วิจารณ์ข้อมูลที่ได้จากเนื้อหาที่เรียน และใช้ทักษะทางภาษาเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมได้ ฉะนั้นการเรียนการสอนวิธีนี้จึงเหมาะสมกับการสอนภาษาในระดับประถมศึกษา

Sample teaching by English major students, MSU